หน้าเว็บ

กลุ่มพนมนครานุรักษ์

วัตถุประสงค์หลักของกลุ่ม คือ การทำกิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของประชาชน ชุมชน หรือ องค์กรภาคประชาสังคม โดยเฉพาะบทบาทของประชาชน ชุมชน หรือ องค์กรประชาสังคม ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่นและภูมิปัญญาท้องถิ่น

สำนักงาน เลขที่ 137 ถนนสุนทรวิจิตร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครพนม 48000
โทร. 042 - 520214 มือถือ 085 - 2044085
ขอให้ชาวนครพนม คัดค้านการนำเอาพระธาตุพนม ไปประดับบนยอดหลังคาอาคารด่านศุลกากรนครพนม ที่สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 จังหวัดนครพนม

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

ความเป็นมาของ กลุ่มพนมนครานุรักษ์

    

          ในปี พ.ศ 2542 ยังมีใครจำได้ใหมว่า เคยเกิดเรื่องราวการประท้วงคัดค้านการก่อสร้างอำเภอเมืองฯที่หนองญาติของประชาชนที่เป็นชาวบ้านกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ที่จำนวนคนมาก็แค่นับสิบจิ๊บจ๊อย ไม่ได้มาเป็นหมื่นๆหรือมาทั้งแผ่นดินตามเสียงดีดนิ้วผิวปากของนักปลุกระดมอาชีพที่ชอบหากินกับนักการเมืองที่รวยอุจาด  การแสดงออกซึ่งความเคลือบแคลงสงสัยกังวลใจไม่เชื่อใจไม่พอใจและไม่เห็นด้วยของประชาชนต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง (ส่วนจะเป็นใครนั้น อีกไม่นานศาลคงจะบอก ) ในครั้งนั้นถือว่า เป็นแบบอย่างของประชาธิปไตยที่ซื่อใสไร้สี  เพราะว่า  เมื่อคนๆหนึ่งเกิดความรู้สึกว่า เฮ้ย เรื่องอย่างนี้มันไม่ถูกต้องนี่หว่า   แล้วไปตรงใจกับคนอีกหลายๆคน จนต้องรวมตัวกันออกมาเพื่อแสดงพลังของการไม่เห็นด้วยของประชาชน  แบบว่าเมื่อคิดแล้วก็ไม่ได้นิ่งเฉยต้องทำอะไรสักอย่าง  ส่วนผล จะสำเร็จได้ถูกใจอย่างใจหรือไม่นั้น ก็ว่ากันไปตามกฎเกณฑ์และเวลา  ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบมันต้องได้อย่างเดียวแถมห้ามกลับบ้านมือเปล่า ตามการโฟนอินของใครบางคนที่กำลังป่วนแผ่นดินอยู่ในวันนี้

                      อาจจะด้วยจำนวนผู้ประท้วงที่น้อยจนไม่เป็นข่าวฮือฮา  เพราะดูเจตนาของการคัดค้านในครั้งนั้นแล้ว คล้ายกับว่าคนพวกนี้เป็นตัวถ่วงความเจริญของบ้านเมือง จึงไม่เป็นที่สนใจของผู้คนและสื่อ   หรือจะเกี่ยวกับ  หน้าและหูที่หนาทวนลมเป็นเลิศของเจ้าหน้าที่นายนั้นก็อาจเป็นได้  การก่อสร้างก็ดำเนินการต่อไปอย่างไม่ยี่หระอนาทรร้อนใจ   จวบจน ที่ทำการอำเภอเมืองนครพนมแห่งใหม่สำเร็จเสร็จสิ้น อันประกอบไปด้วย อาคารที่ทำการ หอประชุม บ้านพัก ตลอดจนสิ่งก่อสร้างอื่นๆอยู่บนอาณาบริเวณพื้นที่ 100 กว่าไร่ ปรากฎอยู่กลางหนองญาติให้เห็นประจักษ์ตา ในปัจจุบัน


           แต่แล้วในเดือนกันยายน  พ.ศ 2547 ก็เกิดเหตุการณ์ในลักษณะ " ได้คืบ ก็เอาศอก " เมื่อมีนายอำเภอเมืองฯอีกคนหนึ่ง (ในขณะนั้น ) และเทศบาลเมืองนครพนม ตามข่าวว่า ได้ประกาศเชิญชวนประชาชน ( ก็ไม่ทราบมีพื้นที่ใดบ้าง ) ให้มาประชุมเพื่อรับฟังเรื่องราวต่างๆที่ ศาลาประชาคมเทศบาลเมืองฯ  บางคนก็เพิ่งมาทราบเอาในวันนั้นเอง  บรรยากาศภายในห้องประชุมก็เป็นการพูดอธิบายถึงโครงการต่างๆที่ ( เทศบาลฯ ) จะทำมากมาย 10 กว่าโครงการของนายอำเภอเมือง เป็นต้นว่า ศูนย์โอทอป หอสูง หอเฉลิมพระเกียรติ สวนนก เรื่องขยะน้ำเสีย ฯลฯ  แล้วให้ประชาชนผู้ที่ได้ลงทะเบียนล่วงหน้าได้แสดงความคิดเห็นต่อโครงการต่างนั้นบ้าง  ก็พบว่าประชาชนผู้ได้รับเชิญให้พูดส่วนใหญ่ก็พูดในลักษณะเหมือนแขกมาในงานกินเลี้ยงที่จะเสียมารยาทกับเจ้าภาพไม่ได้  บ้างก็เยินยอ บ้างก็เออออห่อหมก   ไม่มีคำถามไม่มีข้อสงสัยใดๆว่า แต่ละโครงการที่ใช้เงินมากมายนับร้อยนับพันล้านนั้นจำเป็นจะต้องมีหรือไม่  และจะก่อประโยชน์อันใดให้กับประชาชน ( รึว่า มีคนแอบได้ประโยชน์ ) หรือ มันจะส่งผลกระทบกับธรรมชาติของหนองน้ำยังไง รึ มันจะกระทบสิทธิการเข้าใช้ประโยชน์ของประชาชนเหมือนเมื่อก่อนยังไง  ที่สำคัญ  มันเป็นประชาพิจารณ์ภาษาอะไร

          หลังจากการประชุมวันนั้น  ก็กลับมานั่งทบทวนปัญหาเรื่องราวต่างๆของหนองน้ำ " หนองญาติ " ที่มีมาแต่ต้น  ก็พบประเด็นที่น่าขบคิดอยู่หลายเรื่อง  ในฐานะที่เป็นคนนครพนม  เป็นต้นว่า  หนองญาติเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่มากมีธรรมชาติที่สวยงามอุดมไปด้วยนกและปลานานาพันธุ์  ผู้เขียนเมื่อยังเล็กอยู่ก็เคยมาเที่ยวพักผ่อนกินข้าวป่าที่ศาลากลางน้ำหนองญาติกับครอบครัวอยู่บ่อยๆ  ทุกครั้งที่ไปก็เห็นชาวบ้านอยู่ตามริมหนอง บ้างก็จับปูบ้างก็หาปลาบ้างก็พาวัวควายมาเล่นน้ำจนชินตา  เพราะที่หนองญาตินี่ใครๆก็รู้ว่าเป็นที่สาธารณะ  แล้วทางนายอำเภอเมืองฯเอาเหตุผลความถูกต้องชอบธรรมอันใดมาสร้างสถานที่ราชการบนหนองน้ำสาธารณะสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแห่งนี้ หรืออีกชื่อหนึ่ง ตามที่พวกชลประทานเขาเรียกว่า " อ่างเก็บน้ำหนองญาติ "  ส่วนเรื่องที่ 2  ก็เป็นความเดือดร้อนของประชาชน  ที่ส่วนใหญ่ไม่พอใจการย้ายที่ว่าการอำเภอเมืองออกมาอยู่นอกเขตเทศบาลทั้งไกลทั้งเปลี่ยว การสัญจรไม่มีความสะดวกโดยเฉพาะรถรับจ้างสาธารณะก็หายากและแพงโดยใช่เหตุ  มีอีกเรื่องที่เล่าให้ใครฟังก็ไม่มีคนเชื่อก็คือ  การขุดลอกหนองญาติเหมือนจะพัฒนาระบบนิเวศน์ของสัตว์น้ำ  ที่ไหนได้กลับนำเอาดินที่ขุดได้มาถมหนองน้ำซะฉิบ    และที่สงสัยอยากรู้ตะหงิดๆอีกเรื่องหนึ่งว่า  เหตุผลหรือความจำเป็นอันใดที่เทศบาลเมืองนครพนมจะต้องทะเร่อทะร่าออกมาทำโครงการนอกเขตของตัวเอง หรือว่ามีใครสกิดชวนงั้นรึ ทั้งๆที่ในเขตเทศบาลของตัวเองก็ยังไฟไม่สว่างทางก็เป็นหลุมเป็นบ่ออยู่   มันเกิดอะไรขึ้น  กับ " หนองญาติ " หนองน้ำอันเป็นมรดกทางธรรมชาติที่เก่าแก่ที่สุด กว้างขวางที่สุด และสวยที่สุดของชาวนครพนม

              จึงเกิดปัญหาคาใจว่า  " หนองญาติที่เป็นเพียงหนองน้ำสาธารณะธรรมดาๆแห่งนี้  ทางราชการเข้ามาใช้พื้นที่ได้อย่างไร  แล้วพวกท่านๆเธอๆทั้งหลายนี่ดำเนินงานถูกต้องหรือ ไม่ "  เมื่อมีปุจฉามันก็ต้องมีวิสัจนา แบบตนเป็นที่พึ่งแห่งตน  จะว่าไปแล้วมันก็หลายเดือนอยู่เหมือนกันที่ต้องใช้พรบ.ข้อมูลข่าวสาร ตะรอนๆไปตั้งคำถามตามหน่วยงานราชการต่างๆที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งก็ได้หลักฐานและคำตอบที่ไม่ค่อยเต็มใจทื่อๆห้วนๆชวนหงุดหงิดใจ   เริ่มต้นไปที่อำเภอเมืองฯ  ก็ได้หลักฐานมาชิ้นเดียวจริงๆ คือ หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง หมายเลข นพ.0038 ที่ออกตามคำขอของกระทรวงการคลังเพื่อใช้ในงานกรมชลประทาน  ปลัดสาวตัวสูงชี้แจงว่า  ที่สร้างที่ว่าการฯได้ก็เพราะหนองญาติเป็นที่ราชพัสดุหรือเป็นที่ดินสำหรับราชการใช้ไม่ใช่ที่สาธารณะ  หากอยากรู้มากกว่านี่ก็ให้ไปถามเอากับชลประทานในฐานะผู้ใช้งาน   แต่พอไปถามเรื่องราวกับทางชลประทาน  ก็ได้คำตอบที่มาดมั่นแต่ไม่ค่อยเต็มใจว่า  ทางอำเภอเมืองฯไม่ได้ขออนุญาตในการเข้าใช้ และถ้าอยากรู้มากกว่านี้ให้ไปถามทางธนารักษ์ดู  โอเค.ไปก็ไป พอไปถึงสำนักงานธนารักษ์ ก็ได้คำตอบที่ฟังแล้วชวนขนลุกมาก  คุณเธอสาวใหญ่แต่โสดสนิทคนนั้น ก็ตอบว่า  หนองญาติเป็นที่ราชพัสดุ ( นะจ๊ะ ) ไม่ใช่ที่สาธารณะ  เพราะทางชลประทานซื้อ หนองญาติมาจากเจ้าของ มีสัญญาซื้อขายและนส.3 ตั้งแต่ปี 2516 แน่ะ  จึงทำให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุทั้งหลายก็ได้ครอบครองหนองญาติด้วยประการอื่น ( ตาม มาตรา 5 พรบ.ที่ราชพัสดุ )ไปด้วย  โอ้โห พอได้ยินเท่านั้น  ก็พอเห็นคุกหนองเซาอยู่รำไร  ว่าแต่ว่า บรรดาลุงๆป้าๆที่อยู่แถวหนองญาติ เนี่ยะ   มีใครเคยเห็นเจ้าของหนองญาติตัวเป็นๆ  บ้างมั๊ย เอ่ย  เพราะถ้ามี ก็จะชวนไปเป็นพยานที่ศาล

          เมื่อได้สัมผัสการโยนเผือกร้อนเป็นทอดๆแบบนี้แล้ว กลิ่นฉ้อฉนของการประพฤติมิชอบก็โชยมา  อีกทั้งก็ได้หลักฐานเด็ดข้อมูลที่หนำใจแล้วนี่  ก็เลยมานั่งปรึกษาหารือกับเพื่อนพ้องน้องพี่ในยุคที่ยังไม่มีสีเหลืองสีแดงว่า   งานปล้น เอ๊ย งานเข้าใช้หนองญาตินี้มันเป็นขบวนการใหญ่มากนะ  ตัวการก็มีนักการเมืองทั้งระดับชาติทั้งท้องถิ่นและที่สำคัญ ข้าราชการระดับสูงๆก็เล่นด้วย  เห็นทีว่าพวกเราจะนิ่งเฉยดูดายไม่ได้แล้วต้องช่วยกันหาทางปกปักรักษาสมบัติชิ้นสำคัญของบ้านเรา  ก็เลยตั้งคณะทำงานขึ้นมาให้ชื่อว่า " กลุ่มอนุรักษ์หนองญาติ "   ประเดิมด้วยการส่งหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่สำคัญๆต่างๆโดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังวัดนครพนมในฐานะผู้มีอำนาจโดยตรงให้ยกเลิกเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงฉบับนั้นเสีย แต่โชคร้ายหน่อย ( สำหรับใครก็ไม่ทราบ ) คือท่านไม่ทำอะไรเลย ไม่แตะต้องอะไรทั้งนั้น  ก็จำเป็นอยู่ดีที่พวกเราต้องพึ่งบารมีของศาลปกครอง ในปี พ.ศ 2549 ซึ่งเรื่องก็ยังคาอยู่ในศาลกระทั่งทุกวันนี้  โดยระหว่างนั้นศาลมีคำสั่งห้ามมีกิจกรรมใดๆบนพื้นที่ของหนองญาติ  ถึงกระนั้นก็ยังมีคนรนหาที่แอบทำโน่นสร้างนี่อยู่  คิดเหรอ ว่าศาลจะไม่รู้เรื่อง


           ในปี พ.ศ 2552  นับแต่ฟ้องศาลมากว่า 3 ปีแล้ว เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางคนรอไม่ไหวก็ตายไป บางคนก็เกษียนหนีหมายศาลไป บางคนก็เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นแต่ตำแหน่งจะช่วยได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง  ส่วนคดีหนองญาติที่ศาลก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แหม้มันช่างน่าเบื่อ  กอรปกับในปีนี้  ทางการได้ตั้งหน่วยงานใหม่ เพื่อเข้ามาดูแลการเมืองข้างถนน หรือ การเมืองภาคประชาชนที่มีอยู่กระจัดกระจายตามมีตามเกิดอันได้แก่ กลุ่มประท้วงเรียกร้องสิทธิเรียกร้องความเป็นธรรม กลุ่มคัดค้านนั่นนี่ ตลอดจนกลุ่มสมัชชาสมาพันธ์ต่างๆ   ให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นสมาชิกให้ถูกต้องเสียและเข้ามาอยู่รวมกันในรูปแบบของสภา  ให้รู้ว่าใครเป็นใครแบบมีกฎหมายรองรับ ซ้ำยังมีเงินทุนสนับสนุนการทำงานอีกต่างหาก หน่วยงานนั้นก็คือ  สภาพัฒนาการเมือง เมื่อรู้อย่างนี้ก็เลยหารือกันในกลุ่มว่า  ถึงเวลาหรือยังที่เราจะต้องทำงานให้เป็นกิจลักษณะเสียที อีกทั้งงานเดิมของกลุ่มอนุรักษ์หนองญาติก็เป็นงานเฉพาะกิจและคดีก็ไปไม่ถึงไหน  ก็เลยตกลงใจเอากลุ่มอนุรักษ์หนองญาติมาฝากพักที่ข้างศาลไว้ก่อนกะว่ามีข่าวดีเมื่อไหร่ก็จะกลับมาเอาคืน  แล้วจัดตั้งกลุ่มใหม่ให้ชื่อว่า " กลุ่มพนมนครานุรักษ์ "  พร้อมกับสมัครเป็นสมาชิกของสภาพัฒนาการเมือง ( สพม. ) เพื่อทำงานการเมืองภาคประชาชนให้เป็นเรื่องเป็นราวต่อไป        

ที่ว่าการอำเภอเมืองนครพนม ที่สร้างอยู่กลางหนองน้ำ " หนองญาติ "


เอ สถานที่แห่งนี้ เคยมีป้ายบอกว่าเทศบาลเมืองฯเป็นผู้สร้าง นี่นา 
แล้วป้ายเก่ามัน หายไปไหน


อาคารนี้แอบสร้าง  ในช่วงที่มีคำสั่งให้ผู้ว่าฯระงับการก่อสร้าง


นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาคารที่ควรสร้างใกล้ชุมชนตามแบบเดิม 
งานนี้เรียกว่า สร้างผิดเวลา ผิดสถานที่


เขาไม่ให้สร้าง ก็ดันทุรัง แล้วยังไง หละที่นี้







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น